วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559

งานวิจัยได้ทำการศึกษายาหอม 2 ตำรับ คือ ยาหอมนวโกฐ และยาหอมอินทรจักร์

ขอบคุณภาพจากเว็บไซด์ www.samunpri.com
งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของยาหอม 
ถึงแม้ว่ายาหอมมีคู่ประเทศไทยมานานนับร้อยปี แต่ยาหอมก็ไม่มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในการพิสูจน์สรรพคุณหรือความเป็นพิษ จนกระทั่งในปี 25547 สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้สนับสนุนทุนวิจัยให้นักวิทยาศาสตร์หลายสถาบันร่วมกันศึกษาวิจัยพิสูจน์สรรพคุณของยาหอมอย่างเป็นระบบ ซึ่งงานวิจัยได้ทำการศึกษายาหอม 2 ตำรับ คือ ยาหอมนวโกฐ และยาหอมอินทรจักร์ 

ตำรับยาหอมนวโกฐและยาหอมอินทจักร์ เป็นตำรับยาในยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ และ บัญชียาจากสมุนไพร พ.ศ. 2554 กลุ่มบัญชียาจากสมุนไพรที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม โดยเป็นยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) 

ตำรับยาหอมนวโกฐ ประกอบด้วยเครื่องยา 55 ชนิด เป็นพืชวัตถุ 54 ชนิด ธาตุวัตถุ 1 ชนิด
  • รูปแบบยา ยาผง ยาเม็ด (200 มิลลิกรัม/เม็ด)
  • ข้อบ่งใช้ แก้ลมวิงเวียน คลื่นเหียน อาเจียน (ลมจุกแน่นในอก) ในผู้สูงอายุ แก้ลมปลายไข้ (หลังจากฟื้นไข้แล้วยังมีอาการเช่น คลื่นเหียน วิงเวียน เบื่ออาหาร ท้องอืด อ่อนเพลีย)
  • ขนาดและวิธีใช้ 

    ชนิดผง ครั้งละ 1-2 ช้อนชา ละลายน้ำกระสาย 2-4 ช้อนโต๊ะ ทุก 3 ชั่วโมง เมื่อมีอาการ วันละไม่เกิน 3 ครั้ง

    ชนิดเม็ด ครั้งละ 5-10 เม็ด ละลายน้ำกระสาย 2-4 ช้อนโต๊ะ ทุก 3 ชั่วโมง เมื่อมีอาการ วันละไม่เกิน 3 ครั้ง
  • ข้อควรระวัง ระมัดระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่แพ้ละอองเกสรดอกไม้ และการใช้ในหญิงมีครรภ์ ไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 5 วัน
ตำรับยาหอมอินทจักร์ ประกอบเครื่องยา 49 ชนิด เป็นพืชวัตถุ 44 ชนิด สัตว์วัตถุ 4 ชนิด ธาตุวัตถุ 1 ชนิด
  • รูปแบบยา ยาผง ยาเม็ด (200 มิลลิกรัม/เม็ด)
  • ข้อบ่งใช้ แก้ลมบาดทะจิต แก้คลื่นเหียนอาเจียน แก้ลมจุกเสียด
  • ขนาดและวิธีใช้ 

    ชนิดผง ครั้งละ 1/2-1 ช้อนชา ละลายน้ำกระสาย 2-4 ช้อนโต๊ะ ทุก 3 ชั่วโมง เมื่อมีอาการ วันละไม่เกิน 3 ครั้ง

    ชนิดเม็ด ครั้งละ 5-10 เม็ด ละลายน้ำกระสาย 2-4 ช้อนโต๊ะ ทุก 3 ชั่วโมง เมื่อมีอาการ วันละไม่เกิน 3 ครั้ง
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของเครื่องยา 

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของเครื่องยาที่เป็นส่วนประกอบในตำรับยาหอมทั้งสองตำรับ พบว่าเครื่องยาเหล่านี้มีฤทธิ์ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินอาหาร และระบบประสาทส่วนกลาง 

เครื่องยาที่มีผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
  • ฤทธิ์ลดความดันโลหิต ได้แก่ กระเทียม กฤษณา ชะเอมเทศ เปราะหอม ย่านาง เกสรบัวหลวง ฝาง หญ้าฝรั่น อบเชยเทศ ขอนดอก เทียนข้าวเปลือก เทียนดำ เทียนแดง เทียนเยาวพาณี
  • ฤทธิ์เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ได้แก่ บอระเพ็ด ฝาง เทียนแดง ขิง
  • ฤทธิ์ลดอัตราการเต้นของหัวใจ ได้แก่ ชะเอมเทศ เทียนดำ
  • ฤทธิ์ที่มีผลทำให้หัวใจที่เต้นผิดปกติ มีการเต้นได้ปกติ ได้แก่ เกสรบัวหลวง โกฐสอ ผักชีล้อมหรือทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ได้แก่ แห้วหมู
  • เครื่องยาที่มีผลต่อระบบทางเดินอาหาร
  • ฤทธิ์ลดการบีบตัวของกระเพาะและลำไส้ ได้แก่ กระเทียม ช้าพลู ลูกผักชี อบเชยเทศ โกฐเชียง โกฐกระดูก โกฐหัวบัว กานพลู เทียนแดง ขิง ลูกจันทน์
  • ฤทธิ์ลดการหลั่งน้ำย่อย และกรด ได้แก่ โกฐกระดูก ชะเอมเทศ และ ลูกจันทน์
  • ฤทธิ์เพิ่มการหลั่งเมือกในกระเพาะอาหาร ได้แก่ ชะเอมเทศ เปราะหอม
  • ฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ได้แก่ โกฐกระดูก ชะเอมเทศ เปราะหอม ดีปลี ฝาง อบเชยเทศ โกฐจุฬาลัมพา โกฐเชียง ขอนดอก เทียนข้าวเปลือก เทียนดำ เทียนตาตั๊กแตน เทียนสัตตบุศย์
  • ฤทธิ์ต้านการอาเจียน ได้แก่ แห้วหมู กานพลู ขิง
เครื่องยาที่มีฤทธิ์ต่อประสาทส่วนกลาง
  • ฤทธิ์เสริมระยะเวลาหลับของยา pentobarbitone ยาวนานขึ้น ได้แก่ ดอกบุนนาค
  • ฤทธิ์คลายความกังวล ทำให้สงบ ได้แก่ ลูกผักชี โกฐเชียง จันทน์เทศ กานพลู โกฐสอ หญ้าฝรั่น ลูกจันทน์ พิกุล
  • ฤทธิ์ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองดีขึ้น ได้แก่ หญ้าฝรั่น
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของสารสกัดตำรับยาหอม
  1. ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด 
  2. สารสกัดตำรับยาหอมนวโกฐมีฤทธิ์เพิ่มความดันช่วงหัวใจบีบ (systolic) ได้มากและนานกว่าตำรับยาหอมอินทจักร์ สารสกัดทั้งสองตำรับมีผลต่อความดันช่วงหัวใจคลาย (diastolic) ได้ใกล้เคียงกัน และมีผลลดอัตราการเต้นของหัวใจเล็กน้อยในช่วงเวลา 45-90 นาที สารสกัดตำรับยาหอมทั้งสองมีฤทธิ์เพิ่มอัตราการไหลเวียนเลือดที่สมองหนู โดยเป็นผลมาจากการขยายตัวของหลอดเลือดแดงขนาดเล็กของสมอง จึงมีผลทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น ช่วยแก้อาการวิงเวียนศรีษะ และภาวะเป็นลมหมดสติ
    การศึกษาฤทธิ์ต่อการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตของสารสกัดตำรับยาหอมนวโกฐ และอินทจักร์ ในขนาด 1, 2, 4 กรัมผงสารสกัด/กิโลกรัม เปรียบเทียบกับสาร phenylephrine 0.2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (สารมาตรฐานที่มีผลเพิ่มความดันโลหิต), 5% tween 20 และ สารช่วยระเหยแห้ง (เฉพาะตำรับยาหอมอินทจักร์ ในขนาดที่เป็นส่วนประกอบของการเตรียมสารสกัด 4 กรัมผงยา/กิโลกรัม) ต่อความดันช่วงหัวใจบีบ และความดันช่วงหัวใจคลาย และอัตราการเต้นหัวใจในหนูขาวที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ยาสลบ ก่อนและทุก 15 นาทีหลังป้อน เป็นเวลา 90 นาที ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดตำรับยาหอมทั้งสองตำรับมีผลเพิ่มความดันเลือด โดยเฉพาะในขนาด 4 กรัมผงสารสกัด/กิโลกรัม สารสกัดตำรับยาหอมนวโกฐมีผลเพิ่มความดัน ช่วงหัวใจบีบได้มากและนานกว่าตำรับยาหอมอินทจักร์ สารสกัดทั้งสองตำรับมีผลต่อความดันช่วงหัวใจคลายได้ใกล้เคียงกัน และมีผลลดอัตราการเต้นของหัวใจเล็กน้อยในช่วงเวลา 45-90 นาที

    การศึกษาอัตราการไหลเวียนเลือดในสมอง เป็นการทดสอบผลของสารสกัดตำรับยาหอมทั้งสองตำรับ ในขนาด 2, 4 กรัมผงสารสกัด/กิโลกรัม เปรียบเทียบกับตัวทำละลาย 5% tween 20 ต่ออัตราการไหลเวียนเลือดของหลอดเลือดที่ผิวสมองในหนูขาว ภายใต้ยาสลบ ที่เวลา 5, 15, 30, 45, 60, 90 และ 120 นาที และศึกษาผลการหดและคลายตัวของหลอดเลือดผิวที่สมอง หลังจากหยดสารที่ทำให้หลอดเลือดหดตัว (norepinephrine) ของสารสกัดขนาด 4 กรัมผงสารสกัด/กิโลกรัม ผลการศึกษาพบว่า สารสกัดตำรับยาหอมทั้งสองตำรับมีฤทธิ์เพิ่มอัตราการไหลเวียนเลือดที่สมองหนูขาว ทั้งในขนาด 2, 4 กรัมผงสารสกัด/กิโลกรัม โดยขนาด 4 กรัมผงสารสกัด/กิโลกรัม จะให้ผลการเปลี่ยนแปลงที่สูงกว่า และพบว่าสารสกัดทั้งสองตำรับมีผลเพิ่มความดันเลือดแดงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่การเพิ่มขึ้นของความดันเลือดไม่เกิน 15% และพบว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราการไหลเวียนเลือดที่สมองและความดันเลือดแดงไม่มีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ สารสกัดยาหอมนวโกฐ จะมีความดันเลือดเริ่มเพิ่มขึ้นที่ 5 นาที และเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 45 นาที ส่วนสารสกัดยาหอมอินทจักร์จะเริ่มที่ 15 นาที เพิ่มสูงสุดที่ 90 นาที ในขณะที่อัตราการไหลเวียนเลือดที่สมองจะเริ่มเพิ่มขึ้นที่ 5 นาที และเพิ่มสูงสุดที่ 30 นาที หลังจากได้รับยาหอมทั้งสองตำรับ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าอัตราการไหลเวียนเลือดที่สมองหลังได้รับยาหอมมิได้เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของความดันเลือดแดง แต่เกิดจากผลโดยตรงต่อขนาดหลอดเลือดแดงเล็กที่ผิวสมอง ทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยสารสกัดยาหอมนวโกฐจะเพิ่มขนาดได้ 50% ผลการศึกษานี้สรุปได้ว่ายาหอมสามารถเพิ่มอัตราการไหลเวียนเลือดที่สมองโดยเป็นผลมาจากการขยายตัวของหลอดเลือดแดงขนาดเล็กของสมอง ซึ่งเป็นฤทธิ์เด่นในการนำยาหอมไปใช้ในภาวะของคนใกล้เป็นลมหมดสติ ซึ่งเกิดจากภาวะที่สมองมีเลือดไปเลี้ยงลดลงชั่วขณะ
  3. ฤทธิ์ต่อระบบทางเดินอาหาร

    สารสกัดตำรับยาหอมนวโกฐ มีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งของกรด และมีฤทธิ์ยับยั้งการหดตัวของลำไส้เล็กได้มากกว่าสารสกัดตำรับยาหอมอินทจักร์ ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดเกร็งของลำไส้ได้
    การศึกษาฤทธิ์ต่อระบบทางเดินอาหารของสารสกัดตำรับยาหอมทั้งสอง ในขนาด 1.25-10 มิลลิกรัม/มิลลิลิตรของสารสกัด เปรียบเทียบ ตัวทำละลาย 5% tween 20 และสารช่วยระเหยแห้ง โดยศึกษาผลต่อการหลั่งกรดของกระเพาะอาหารหนูถีบจักรที่แยกจากตัว โดยกระตุ้นให้กรดหลั่งด้วยฮีสตามีน ขนาด 5 ไมโครโมล ทำการเก็บตัวอย่างมาวิเคราะห์หาปริมาณกรดโดยการไตเตรทกับ 0.002 N NaOH จนถึงจุดสิ้นสุดที่ pH 5.0 เก็บตัวอย่างทุก 10 นาที เป็นเวลา 2 ชั่วโมง 20 นาที ผลการศึกษาพบว่า สารสกัดตำรับยาหอมนวโกฐขนาด 2.5 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร มีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งของกรด ส่วนสารสกัดตำรับยาหอมอินทจักร์ไม่สามารถประเมินผลได้เนื่องจากการรบกวนผลของสารช่วยระเหยแห้ง

    การศึกษาฤทธิ์ต่อการหดตัวของลำไส้เล็กของหนูตะเภา โดยทดสอบฤทธิ์ของสารละลายสารสกัดตำรับยาหอม ขนาด 0.02, 0.04, 0.06, 0.08 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ตัวทำละลาย (5% Tween 20), สารช่วยระเหยแห้ง โดยเปรียบเทียบกับสาร atropine ขนาด 4 นาโนโมล ให้สารสกัดที่ต้องการทดสอบ 5 นาที ก่อนการกระตุ้นด้วย acetylcholine ผลการศึกษาพบว่า สารสกัดตำรับยาหอมนวโกฐขนาด 0.2 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร มีฤทธิ์ยับยั้งการหดตัวของลำไส้เล็ก (19.77%) ได้มากกว่าสารสกัดตำรับยาหอมอินทจักร์ (11.77%)
  4. ฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง
    สารสกัดตำรับยาหอมนวโกฐมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางมากกว่าสารสกัดตำรับยาหอมอินทจักร์
    สารสกัดตำรับยาหอมนวโกฐและอินทจักร์มีฤทธิ์ทำให้ระยะเวลาการออกฤทธิ์ของยานอนหลับ pentobarbital ยาวนานขึ้น ซึ่งสารสกัดตำรับยาหอมนวโกฐขนาด 100, 300, 1,000 และ 3,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง โดยมีฤทธิ์กดการเคลื่อนไหวของสัตว์ทดลอง ในการทดสอบโดยวิธี Locomoter activity test ส่วนสารสกัดตำรับยาหอมอินทจักร์ไม่มีฤทธิ์ดังกล่าว แสดงว่าสารสกัดตำรับยาหอมนวโกฐมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางมากกว่าสารสกัดตำรับยาหอมอินทจักร์
  5. การศึกษาความเป็นพิษ

    การศึกษาความเป็นพิษเบื้องต้นของสารสกัดตำรับยาหอม ต่อหนูถีบจักรและหนูขาวทั้งสองเพศ และทดสอบผลต่อค่าเคมีของเลือดและเนื้อเยื่อ โดยป้อนสารสกัดขนาด 1, 2.5 และ 5 กรัม/กิโลกรัม ครั้งเดียว สังเกตพฤติกรรมของสัตว์ทดลองตลอด 7 วัน เก็บเลือด และอวัยวะภายในเพื่อตรวจพยาธิสภาพของเนื้อเยื่อ ผลการศึกษาพบว่า สารสกัดตำรับยาหอมทั้งสองตำรับไม่มีผลต่ออัตราการเจริญเติบโต และค่าเคมีของเลือด การทำงานของระบบตับและไต แต่พบว่าสารสกัดยาหอมมีแนวโน้มที่จะมีพิษต่อตับและไตในหนูขาวเพศเมีย เนื่องจากการศึกษานี้เป็นการศึกษาขั้นเบื้องต้น ฉะนั้นจะต้องทำการศึกษาในรายละเอียดเพิ่มเติม
  6. สรุป จะเห็นได้ว่า ยาหอม มรดกทางภูมิปัญญาของประเทศไทย ที่มีการใช้กันอย่างยาวนานตั้งแต่ในอดีตสมัยรัชกาลที่ 3 จนถึงปัจจุบัน ได้มีงานวิจัยอย่างเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์สรรพคุณตามภูมิปัญญา ซึ่งพบว่า ยาหอมมีผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินอาหาร และระบบประสาทส่วนกลาง ที่สามารถใช้บำบัดอาการเป็นลมวิงเวียน คลื่นเหียน อาเจียน ท้องอืด แก้ลมจุกเสียด และงานวิจัยนี้ถือได้ว่าเป็นงานวิจัยชิ้นแรกที่พิสูจน์ผลของยาหอมอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งข้อมูลนี้สามารถที่จะนำไปศึกษาต่อยอดในคนต่อไป เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้ยาหอม และเป็นการสืบสานภูมิปัญญาของประเทศชาติสืบต่อไป
    อ้างอิงข้อมูลจาก
    http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/283/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1/

กินอาหารอย่างไรให้ได้ประโยชน์

เคล็ดลับกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ

     ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากผู้รู้ และผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการหลายคน ให้กินนั่น หรือ ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่

1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจและพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวันช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2. ใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวันปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอก ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด ทำให้สดชื่นตลอดวัน

4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและ กระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7.. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี พยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย

9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้

ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ ก็จะเป็นของคุณ

ปัจจัย 4 ประการสำคัญต่อการดำรงชีวิต

ชีวิตอยู่ได้ด้วยปัจจัย 4
     ชีวิตของคนเราจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วย ปัจจัย  4 ประการ อันได้แก่ 1.  อาหาร  2.  เครื่องนุ่งห่ม  3.  ที่อยู่อาศัย   4.  ยารักษาโรค      การดำรงชีวิตของเราทุกวันนี้  เราต้องการอาหารที่มีประโยชน์และเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย มีเครื่องนุ่งห่มที่ห่อหุ้มและป้องกันร่างกายตามความเหมาะสม มีที่อยู่อาศัยที่ในสภาพที่ดี บรรยากาศ และสภาพแวดล้อมดี มียารักษาโรคพร้อมที่จะหยิบใช้ได้ตามความต้องการ ส่วนที่ถือว่าสำคัญมากที่ต้องได้รับ สิ่งนั้นคือ อาหาร


      อาหาร คือ สิ่งที่กินเข้าไปในร่างกายแล้วก่อให้เกิด ประโยชน์ต่อร่างกาย สารอาหาร ที่ดีต้องประกอบไปโดย โปรตีน คาร์โบไอเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ และน้ ำ มีประโยชน์ที่แตกต่างกัน ร่างกายต้องสารอาหารแต่ละประเภทที่แตกต่างกัน ประเภทของสารอาหาร จำแนกออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ สารอาหารที่ให้พลังงาน สารอาหารที่ไม่ให้พลังงาน เมื่อร่างกายย่อยแล้วก็จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายในหลาย ๆ ด้าน เช่น ช่วยทำให้ร่างกายเจริญเติบโต ช่วยสร้างกล้ามเนื้อ สมอง กระดูก และผิวหนัง ช่วยให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกายในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ช่วยซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ที่สึกหรอของร่างกาย ทำให้การทำงานของอวัยวะภายในร่างกายเป็นปกติ และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายในการต้านทานโรคต่าง ๆ ทำให้เราไม่เจ็บไม่ป่วยได้ง่าย ๆ เป็นต้น
     อาหารหลัก 5 หมู่ คือ อาหารที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันรวม 5 ชนิด โดยสารอาหารที่เหมือนกันจะถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน และร่างกายของคนเราก็ต้องการสารอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ หรือ 5 ชนิด ในแต่ละวัน เพราะไม่มีอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งที่สามารถจะให้สารอาหารได้ครบทั้ง 5 หมู่ โดยเราสามารถแบ่งอาหารออกเป็นหมู่หลัก ๆ ได้ 5 หมู่ ได้แก่

หมู่ที่ 1 โปรตีน (เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว)

หมู่ที่ 2 คาร์โบไฮเดรต (ข้าว แป้ง น้ำตาล เผือก มัน)
หมู่ที่ 3 เกลือแร่หรือแร่ธาตุ (พืชผัก)
หมู่ที่ 4 วิตามิน (ผลไม้)
หมู่ที่ 5 ไขมัน (ไขมันจากพืชและสัตว์)

การเลือกรับประทานอาหาร
รับประทานอาหารให้ถูกสัดส่วนจะทำให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ความต้องการพลังงานและสารอาหารแต่ละประเภทของร่างกายคนเรานี้มีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ

     ความแตกต่างทาง เพศ ทำให้มีการเลือกรับประทานอาหารต่างกัน เช่น ผู้ใหญ่ในวัยทำงาน เพศชายต้องการพลังงานและอาหาร มากกว่าเพศหญิง เพราะกิจกรรมของเพศชายจะเกี่ยวข้องกับการใช้แรงงาน การใช้พลัง การออกกำลังจำนวนมาก จึงทำให้ผู้ชายมีความต้องการอาหารมากกว่าเพศหญิง
ความแตกต่างของ วัย เช่น ผู้หญิง วัยทอง อายุประมาณ 20 ขึ้นไป จะมีความต้องสารอาหาร น้อยกว่าผู้หญิงที่อยู่ ในวัยเรียน และวัยรุ่น
สภาพของร่างกาย เช่นหญิงมีครรภ์ ต้องการอาหารเพื่อส่งต่อไปให้ลูกที่อยู่ในครรภ์ คนป่วย ต้องการสารอาหารบางประเภทจำนวนมาก เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
นอกจากปัจจัยทั้ง 3 อย่างประการดังกล่าวมานี้ ยังมีปัจจัยอื่นอีกมากที่มีความสำคัญต่อความต้องการพลังงานและสารอาหาร เช่น อุณหภูมิของอากาศ การทำงาน ความแตกต่างของขนาดในร่างกายของแต่ละคน

โทษของการขาดสารอาหาร
โรคขาดสารอาหารที่สำคัญและพบเห็นบ่อย
โรคที่เกิดจากการขาดสารโปรตีนและแคลอรี เป็นโรคที่เกิดจากร่างกายได้รับสารอาหารประเภทโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน น้อยเกินไป หรือสารอาหารเหล่านี้มีคุณภาพไม่ดี โรคนี้พบได้บ่อยในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปี โดยเฉพาะทารกและเด็กก่อนวัยเรียน อันเนื่องมาจากการขาดดูแลเอาใจใส่เรื่องการกินอาหารหรือไม่มีความรู้ทางโภชนาการ หรือการนำนมข้นหวาน และนมผงผสม ที่มีสารอาหารน้อยเกินไปสำหรับเด็กมาให้เด็กทาน อาการของโรค ร่างกายจะผอมแห้ง จะมีการบวมที่ท้อง หน้า ขา ศีรษะโต ผิวหนังเหี่ยว การแก้ไขให้ป้องกันโดยการดื่มนมวัว หรือนมถั่ว เหลือง เพิ่มขึ้นเพราะน้ำนมเป็นอาหารที่ประกอบด้วยสารอาหารที่สมบูรณ์ที่สุด

โรคขาดวิตามิน ที่พบมากในประเทศไทยเป็นโรคที่เกิดจากวิตามินเอ บีหนึ่ง บีสอง ซี
- ขาดวิตามินเอ ทำให้เกิดโรค ตาฟาง ตาบอกกลางคืน ป้องกันกินอาหารประเภทไขมัน และผักใบเขียว ใบเหลือง เช่น มะละกอ คะน้า ตำลึง ไข่ นมมะม่วงสุก ผักบุ้ง

- ขาดวิตามินบีหนึ่ง ทำให้เกิด ใจสั่น โรคหัวใจโตและเต้นเร็ว หอบ เหนื่อย โรคเหน็บชา การป้องกันทำได้โดยการกินอาหารที่มีวิตามินบีหนึ่งเป็นประจำ เช่น ข้าวซ้อมมือ ถั่วเมล็ดแห้ง และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำลาย วิตามินบีหนึ่ง เช่น ปลาร้า หอยดิบ หมาก เมี่ยง ใบชา

- ขาดวิตามินบีสอง ทำให้เกิดโรค ปากนกกระจอก เป็นแผลที่ปาก แก้ไขได้โดยกินอาการประเภท นมสด น้ำเต้าหู้ ถัวเหลือง เป็นต้น

- ขาดวิตามิน ซี ทำให้เกิดโรค ลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟัน แก้ไขได้โดยทางอาหารที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว มะขาม มะเขือเทศ เป็นต้น

โรคขาดแร่ธาตุ ถ้าร่างกายขาดสารแร่ธาตุก็จะทำหน้าของอวัยวะผิดปกติและจะทำให้เกิดโรคต่างๆ
- ขาดธาตุ แคลเชียม จะเป็นโรคกระดูกอ่อน กระดูกไม่แข็งแรง มักจะเป็นในเด็กและหญิงให้นมบุตร อาการของโรคจะทำให้ข้อต่อกระดูกบวม ขาโค้งโก่ง กล้ามเนื้อหย่อน กระดูกซี่โครงด้านหน้ารอยต่อนูน ทำให้อกเป็นสันเรียกว่า อกไก่ การป้องกันการขาดธาตุ แคลเชียม ให้กินอาหารประเภท นมสด ปลาที่กินได้ทั้งกระดูก กระดูกอ่อน ผักสีเขียว และควรเสริมด้วยน้ำมันตับปลา

- ขาดธาตุเหล็ก จะเป็นโรคโลหิตจาง ร่างกายอ่อนแอ เบื่ออาหาร ความต้านทานโรคต่ำ เปลือกตาขาวซีด ลิ้นอักเสบ เล็บเปราะ การป้องกันการขาดธาตุเหล็ก ให้รับประทานอาหารจำพวกเครื่องใน เช่นตับ หัวใจ เลือด เนื้อสัตว์ ผักใบเขียว เป็นต้น

- ขาดธาตุไอโอดีน ได้แก่โรคคอหอยพอก ต่อมไทรอยด์บวม และถ้าเป็นในเด็ก จะทำให้ร่างกายแคระ สติปัญญาเสื่อม หรือที่เรียกว่าโรคเอ๋อ ป้องกันได้ โดยกินอาหารทะเล ของเค็ม เกลือสมุทร (เกลือที่มาจากทะเล)

- โรคอ้วน เกิดจากการที่ร่างกายรับประทานอาหาร มากเกินความต้องการของร่างกาย ทำให้มีการสะสมไขมันในร่างกายเกินความจำเป็น โรคอ้วนจะทำให้มีอาการโรคอื่นผสมได้ง่าย เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดัน เป็นต้น การป้องกันโรคอ้วนให้หมั่นออกกำลังกาย เลือกรับประทานอาหารที่ไม่มีไขมัน ควรปรึกษาแพทย์ ไม่ควรกินยาลดน้ำหนัก

สิ่งเป็นพิษในอาหาร
เป็นส่วนของสารพิษที่มีโทษต่อร่างกาย อาจะเกิดได้หลายสาเหตุ เช่น การฉีดยาฆ่าแมลง การใช้น้ำที่มีสารโลหะรดผักผลไม้ การเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่นผักบางชนิด เห็ดพิษ แหล่งที่มาของสิ่งเป็นพิษ จะมี 2 แบบ ได้แก่ แบบที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ กับสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น

แหล่งที่มาของสารพิษ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

พืชและสัตว์บางชนิดจะมีส่วนที่เป็นสารพิษ เช่น งูบางชนิด แมลงป่อง แมงมุม ปลาปักเป้า มันสำปะหลังดิบ หัวกลอย ลูกลำโพง เห็ดป่าบางชนิด โดยอาหารเหล่านี้เมื่อกินเข้าไป มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนอย่างแรง ปวดท้องอย่างรุนแรง อาจตายได้ถ้ารักษาไม่ทัน

สารพิษที่เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ เช่น ยีสต์ รา แบคทีเรีย ไวรัส เป็นต้น เมื่อบริโภคอาหารที่มีการปนเปื้อนกับเชื้อพวกนี้จะทำให้เป็นโรค บิด วัณโรค โรคตับอักเสบ ไขสันหลัง อักเสบ ไข้เหลือง โรคท้องรวงในเด็ก เมื่อสะสมกันเป็นเลานานจะทำให้เป็นโรคมะเร็งตับ อาหารที่เสียงต่อการเกิดเชื้อจุลินทรีย์ได้แก่ อาหารหมดอายุ ขนมปังที่ขึ้นรา พริก หอม กระเทียม ถั่วลิสง ที่ขึ้นราและมีความชื้น ขนมที่เปิดถุงไว้นาน มีความชื้น มีกลิ่นเหม็นหืน เป็นต้น

สิ่งที่เป็นพิษที่เกิดจากพยาธิ พยาธิใบไม้ พยาธิไส้เดือน พยาธิตัวตืด พยาธิปากขอ โดยตัวพยาธิเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการ ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย นานๆเข้า ร่างกายจะซูบผอม ตับแข็ง บางชนิดจะวิ่งขึ้นสู่สมอง ดวงตา และสามารถที่จะตายในที่สุด การป้องกันไม่ให้เกิดพยาธิ ได้แก่การทานอาหารที่สุก หลีกเลี่ยงอาหารดิบ เนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก

 แหล่งที่มาของสารพิษที่เกิดขึ้นจากมนุษย์
ปัจจุบันได้มีการผลิตอาหารที่เป็นพืชหรือสัตว์เป็นจำนวนมาก ๆ ในรูปแบบของโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้อาหารเหล่านี้มีการผลิตจำนวนมาก การใช้สารเคมีเพื่อเร่งให้พืชหรือสัตว์โตได้ทันความต้องการ การถนอมอาหารที่ต้องการให้เก็บได้เวลานานๆ หรือการแต่สีสันให้สวยงาม โดยแหล่งที่มาของสารพิษที่เกิดจากมนุษย์นี้จะแบ่งได้ 2 แบบ ได้แก่สารพิษที่มาจากขั้นตอนการปลูก หรือเลี้ยง กับสารพิษที่มาในรูปแบบอาหารปนเปื้อน

สารพิษที่เกิดจากการใช้สารเคมีในการเกษตร เช่น พืชต้องมีการใส่ปุ๋ยเคมี ฉีดสารกำจัดศัตรูพืช หรือแมลง เพื่อให้พืชมีการเจริญเติบโตที่ดี ในส่วนของสัตว์ได้มีการฉีดยาเร่งให้เพิ่มปริมาณเนื้อ ปริมาณไข่ หรือกาฉีดยาเพื่อป้องกันโรคให้กับสัตว์ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดสารตกค้างทั้งสิ้น การป้องกัน ให้ล้างอาหารให้สะอาด แช่ด้วยด่างทับทิม หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ทราบที่มา หรือราคาถูกมากๆ ใบของพืชมีความสวยงามเกินความเป็นจริง หรือเป็นไปได้ ให้ปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ไว้รับประทานเอง

สารพิษที่เกิดจากสิ่งเจือปนอยู่ในอาหาร เช่น สารกันบูด สารแต่งกลิ่นหรือรส สีผสมอาหาร สารเร่งเนื้อแดงของสัตว์ โดยสารพิษเหล่านี้จะเกิดในขั้นตอนของการผลิตอาหาร หรือการแปรรูปอาหาร การหลีกเลี่ยง การเลือกซื้อผักควรเลือกที่สด แต่ผักที่สวยจนเกินไปจะแสดงถึงการใส่สารเคมี จำนวนมาก เนื้อสัตว์ควรเลือกที่มีสีธรรมชาติ ไม่แดงเกินความเป็นจริง หลีกเลี่ยงอาหารที่เก็บได้หลายวัน อาหารกระป๋องที่เสียหาย บุบ หรือเกิดสนิม